
แนวคิด อุปสรรค และอนาคตของการสร้างสังคมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริง
คุณเคยสงสัยไหมว่า… การแต่งตัวตามเพศสภาพของตัวเอง อาจทำให้คุณถูกปฏิเสธงาน? หรือการรักใครสักคน อาจทำให้คุณถูกตัดสิทธิ์ทางกฎหมาย? นี่คือความจริงที่คน LGBTQ+ หลายคนเผชิญอยู่ทุกวัน แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สังคมไทยได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและทัศนคติที่สำคัญเกี่ยวกับสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+). การผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ได้รับการอนุมัติในชั้นสภาผู้แทนราษฎรเป็นหนึ่งในหลักชัยสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า แนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางเพศกำลังได้รับความสนใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หลายคนเฉลิมฉลองกับความก้าวหน้านี้ คำถามที่ซับซ้อนกว่าก็เกิดขึ้น “เท่านี้เพียงพอแล้วหรือ?” การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่ในระดับสังคม ทัศนคติและโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมยังคงฝังรากลึกอยู่หรือไม่?
เรายังเห็นข่าวการเลือกปฏิบัติต่อคนข้ามเพศในสถานที่ทำงาน การปฏิเสธสิทธิในการรับบริการสาธารณสุข หรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามซ้ำซากเกี่ยวกับ “ความเหมาะสม” ของ LGBTQ+ ในการมีบทบาทสำคัญทางสังคม
ปัญหาเหล่านี้บ่งชี้ว่าความเท่าเทียมยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพูดถึง และไม่ใช่แค่เรื่องของ LGBTQ+ เท่านั้น แต่คือเรื่องของทุกคน และเมื่อเราพูดถึง “ความเท่าเทียม” เรากำลังพูดถึงอะไรแน่?
• เป็นเพียงสิทธิ์ตามกฎหมาย หรือเป็นโอกาสที่ทุกคนได้รับอย่างแท้จริง?
• ความเท่าเทียมต้องหมายถึงการให้สิ่งที่เหมือนกันกับทุกคน หรือหมายถึงการปรับเงื่อนไขเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสได้อย่างเป็นธรรม?
• ทำไมสังคมยังมีความกลัวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ความเท่าเทียม?
เพื่อค้นหาคำตอบเหล่านี้ เราได้พูดคุยกับ ผศ.ดร.รณภูมิ สามัคคีคารมย์ อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (Thai Transgender Alliance - ThaiTGA).
จากการทำงานในภาควิชาการและการเคลื่อนไหวทางสังคม อาจารย์รณภูมิเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทย เราจึงอยากชวนเขามาพูดคุยกันถึงสิ่งที่ยังต้องแก้ไข อุปสรรคที่ยังต้องฝ่าฟัน และเส้นทางที่เราต้องมุ่งหน้าไปในอนาคต
นิยามของ “ความเท่าเทียม” : ความเข้าใจที่สังคมยังคงสับสน
ในขณะที่คำว่า “ความเท่าเทียม” กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงในระดับนโยบายและสังคมมากขึ้น แต่หากถามว่าคนทั่วไปเข้าใจมันจริงหรือไม่? คำตอบอาจยังไม่แน่ชัด หลายครั้ง “ความเท่าเทียม” ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการมอบสิ่งเดียวกันให้กับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น การให้สิทธิ์หรือทรัพยากรอย่างเท่ากันในทางกฎหมาย แต่ละเลยว่าในชีวิตจริง คนแต่ละคนเริ่มต้นจากจุดที่ไม่เท่ากัน
“เท่าเทียมไม่ใช่การให้ทุกคนเหมือนกัน แต่คือการให้ทุกคนได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกัน” อาจารย์รณภูมิอธิบาย “ถ้าทุกคนมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน การให้ทุกคนได้รับสิ่งเดียวกันย่อมไม่ใช่ความเท่าเทียม มันแค่ดูเหมือนจะเท่ากัน แต่ไม่ได้เป็นธรรมจริง ๆ”
ลองจินตนาการถึงการแข่งขันวิ่ง หากเราวางนักวิ่งทั้งหมดให้อยู่ที่จุดเริ่มต้นเดียวกันแต่ไม่มีการคำนึงถึงว่าบางคนมีรองเท้าวิ่งราคาแพง บางคนไม่มีรองเท้าเลย หรือบางคนอาจมีภาระหนักที่แบกอยู่หลัง มันอาจจะดูเหมือน “เท่าเทียม” เพราะทุกคนเริ่มต้นพร้อมกัน แต่จริง ๆ แล้วมันคือการแข่งขันที่ไม่แฟร์ตั้งแต่แรก
“ถ้าเราต้องการให้ทุกคนมีโอกาสที่แท้จริง เราต้องทำให้แน่ใจว่าคนที่ไม่มีรองเท้าได้รับรองเท้าก่อนการแข่งขัน หรือถ้าคนหนึ่งถูกมัดขาด้วยโซ่ เราต้องช่วยปลดมันออกก่อนที่เขาจะเริ่มวิ่ง ไม่เช่นนั้นเรากำลังมองแค่เปลือกของความเท่าเทียม แต่ไม่ได้ทำให้เกิดผลที่ยุติธรรมจริง ๆ” นี่คือจุดที่ “ความเท่าเทียม” กับ “ความเป็นธรรม” แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
“ความเท่าเทียม” ต่างจาก “ความเป็นธรรม” อย่างไร?
ในบางกรณี การให้สิทธิ์แบบเดียวกันกับทุกคนอาจไม่ได้ช่วยให้เกิดความเป็นธรรม อาจารย์รณภูมิอธิบายว่า **“ความเสมอภาค” (Equality) คือการให้ทุกคนได้รับเท่ากัน ส่วน “ความเป็นธรรม” (Equity) คือการพิจารณาว่าใครควรได้รับสิ่งใด เพื่อให้เขาสามารถมีโอกาสที่เท่าเทียมกับคนอื่น
“ลองนึกถึงสถานการณ์ในโรงพยาบาล หากมีผู้ป่วยสูงอายุและเด็กเล็กเดินเข้ามาพร้อมกัน ควรให้ใครได้รับการรักษาก่อน? ถ้าเราใช้หลัก ‘เสมอภาค’ เราจะให้ทุกคนรอคิวตามลำดับ แต่ถ้าเราใช้หลัก ‘ความเป็นธรรม’ เราจะพิจารณาว่าผู้ที่อาการหนักหรือเปราะบางกว่าควรได้รับการดูแลก่อน” อาจารย์รณภูมิยกตัวอย่างให้เราเห็นชัดเจนขึ้น
หลักการนี้นำมาใช้ได้ในทุกมิติของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงการศึกษา การจ้างงาน หรือการรับบริการสาธารณะ ปัญหาคือ สังคมไทยยังยึดติดกับแนวคิดว่า “ให้ทุกคนเท่ากันก็เพียงพอแล้ว” โดยไม่คำนึงว่าบางคนต้องการมากกว่านั้นเพื่อให้ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันจริง ๆ
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “เสมอภาค” กับ “เป็นธรรม” เป็นก้าวแรกในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่บนกระดาษ แต่ในชีวิตจริง
“ความเท่าเทียม” ควรเป็นเรื่องที่ทุกคนตระหนัก ไม่ใช่แค่ของ LGBTQ+
แม้ว่าประเด็นความเท่าเทียมจะถูกพูดถึงมากในมิติของสิทธิ LGBTQ+ แต่แท้จริงแล้ว ความไม่เท่าเทียมเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกกลุ่มคน ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โอกาสในการศึกษา หรือการเข้าถึงทรัพยากรขั้นพื้นฐาน
อาจารย์รณภูมิกล่าวว่า “ถ้าเราเข้าใจว่าความเท่าเทียมเป็นเรื่องของการให้โอกาสมากกว่าการให้สิ่งเดียวกัน เราจะเริ่มมองเห็นว่าทุกคนในสังคมต่างเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำในรูปแบบที่แตกต่างกัน”
เมื่อเราพูดถึงการสร้างสังคมที่เท่าเทียม เราไม่ได้หมายถึงการให้สิทธิพิเศษกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการแก้ไขโครงสร้างที่ทำให้บางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงโอกาสได้ ความเท่าเทียมจึงไม่ใช่เรื่องของ LGBTQ+ เท่านั้น แต่มันคือเรื่องของทุกคน
อุปสรรคของการสร้างความเท่าเทียมในสังคมไทย
แม้แนวคิดเรื่อง “ความเท่าเทียม” จะได้รับการพูดถึงมากขึ้น แต่การทำให้มันเกิดขึ้นจริงยังคงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน อะไรคือกำแพงที่ขวางกั้นการสร้างสังคมที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน? อุปสรรคสำคัญที่ อาจารย์รณภูมิ ชี้ให้เห็นนั้นไม่ได้อยู่ที่ข้อกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ “ความกลัว” ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย
“ปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมไทยคือ ‘ความกลัว’ คนไทยกลัวไปหมด กลัวว่าสมรสเท่าเทียมจะทำให้เด็กเกิดน้อยลง กลัวว่าถ้าให้คนข้ามเพศเปลี่ยนคำนำหน้านามได้จะมีปัญหาในระบบราชการ กลัวว่าถ้ารัฐสนับสนุนฮอร์โมนให้คนข้ามเพศจะเป็นภาระงบประมาณ ทั้งที่เรื่องพวกนี้มันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับแล้วว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบแย่ขนาดนั้น”
ความกลัวเป็นอุปสรรคเงียบที่ทำให้ความเท่าเทียมถูกต่อต้าน ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่มีข้อมูลรองรับ แต่ด้วยอารมณ์และมายาคติที่สืบทอดกันมา
ความกลัวที่ไม่มีหลักฐานรองรับ แต่กลายเป็นข้ออ้างในการต่อต้านความเท่าเทียม
ความกลัวเกี่ยวกับ LGBTQ+ ส่วนใหญ่มักมาจากความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ เช่น
• ความเชื่อว่าสมรสเท่าเทียมจะทำให้อัตราการเกิดลดลง – ทั้งที่ในหลายประเทศที่มีสมรสเท่าเทียม อัตราการเกิดของประชากรไม่ได้ลดลงเพราะปัจจัยนี้โดยตรง แต่เกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจ สวัสดิการ และวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป
• ความเชื่อว่าการเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศจะทำให้เกิดความสับสนในระบบราชการ – ทั้งที่ในหลายประเทศมีการอนุญาตให้เปลี่ยนคำนำหน้านามแล้วโดยไม่มีผลกระทบที่วุ่นวายต่อระบบ
• ความเชื่อว่าการสนับสนุนบริการสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศเป็นภาระทางงบประมาณ – ทั้งที่ในความเป็นจริง การดูแลสุขภาพจิตและกายของทุกคนให้ดีขึ้น ย่อมช่วยลดภาระด้านสาธารณสุขในระยะยาว
“คนไทยยังเชื่อว่า LGBTQ+ ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ ทั้งที่เรามีหลักฐานชัดเจนว่าความหลากหลายทางเพศมีอยู่ในทุกวัฒนธรรม และในทุกช่วงประวัติศาสตร์” อาจารย์รณภูมิอธิบายว่า ความหลากหลายทางเพศไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน แต่เป็นสิ่งที่มีมาในทุกสังคม ทุกวัฒนธรรม เพียงแต่ในบางช่วงเวลาและบางพื้นที่ สังคมอาจพยายามกลบเกลื่อนและปฏิเสธการมีอยู่ของมัน
“กฎหมายไทยตั้งอยู่บนฐานของความกลัว มากกว่าความเป็นธรรม” นอกจากความกลัวของประชาชนแล้ว อาจารย์รณภูมิยังชี้ให้เห็นว่า กฎหมายไทยเองก็มักถูกสร้างขึ้นบนฐานของความกลัวมากกว่าความเป็นธรรม “นักกฎหมายไทยหลายคนมักตั้งคำถามว่า ‘ถ้าให้สิทธิ์นี้ไป จะเกิดปัญหาอะไร?’ แทนที่จะตั้งคำถามว่า ‘ถ้าให้สิทธิ์นี้ไป สังคมจะดีขึ้นอย่างไร?’ นี่คือ mindset ที่ต้องเปลี่ยน”
ประเทศไทยมีประวัติของการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุม มากกว่าการใช้กฎหมายเพื่อส่งเสริมโอกาสและสิทธิของประชาชน กฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ มักไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนหรือปกป้องสิทธิของพวกเขา แต่เป็นกฎหมายที่ “กันไว้ก่อน” หรือสร้างขึ้นจากความกังวลว่าถ้าให้สิทธิ์ไปแล้วจะเกิดผลกระทบทางลบ แนวคิดแบบนี้ทำให้ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องเผชิญกับแรงต่อต้าน แม้ว่าจะมีหลักฐานจากประเทศอื่น ๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาตามที่กลัวกัน การเปลี่ยน mindset ในระดับกฎหมายและนโยบายจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม
“ความกลัว” เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ด้วยข้อมูลและความเข้าใจ
แม้ว่าความกลัวจะเป็นอุปสรรคสำคัญ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขไม่ได้ อาจารย์รณภูมิเชื่อว่าการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและการเปิดโอกาสให้คนได้เรียนรู้ สามารถช่วยลดความกลัวและสร้างความเข้าใจได้
“ความกลัวไม่ได้เป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ถ้าเราให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง คนจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น และความกลัวจะลดลงไปเอง”
ตัวอย่างเช่น ในอดีต หลายคนเคยกลัวการมีผู้หญิงเป็นผู้นำประเทศ หรือกลัวว่าการมีเพศทางเลือกในที่ทำงานจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่เมื่อเวลาผ่านไปและสังคมเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ มากขึ้น ทัศนคติเหล่านี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป การสร้างสังคมที่เท่าเทียมจึงต้องเริ่มจากการเปิดพื้นที่ให้เกิดการเรียนรู้ และส่งเสริมให้คนกล้าตั้งคำถามกับความเชื่อเดิม ๆ ที่อาจไม่มีหลักฐานรองรับ
“ความเท่าเทียมเป็นไปได้ ถ้าเราไม่ปล่อยให้ความกลัวมาครอบงำ” ท้ายที่สุด อุปสรรคที่แท้จริงของความเท่าเทียมในไทยไม่ใช่กฎหมายที่ล้าหลัง ไม่ใช่โครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อน แต่คือ “ความกลัว” ที่ถูกทำให้ดูเหมือนเป็นเหตุผลในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง “ถ้าคนไทยสามารถก้าวข้ามความกลัวและเปิดใจให้กับแนวคิดใหม่ ๆ เราจะเห็นว่าสังคมที่เท่าเทียมกว่านี้เป็นไปได้จริง”
บทบาทของมูลนิธิฯ ในการผลักดันความเท่าเทียม
การสร้างความเท่าเทียมในสังคมไม่ได้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการทำงานขององค์กรที่ขับเคลื่อนนโยบายและสร้างความเข้าใจในสังคม มูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (ThaiTGA) และ ศูนย์วิชาการเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้สิทธิของ LGBTQ+ ไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นวาระทางสังคม หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นคือ การผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งอาจารย์รณภูมิกล่าวว่า “สมรสเท่าเทียมไม่ได้เป็นเรื่องของการ ‘ให้สิทธิพิเศษ’ แก่ LGBTQ+ แต่มันคือ ‘การคืนสิทธิ์’ ที่ควรจะเป็นของทุกคนตั้งแต่แรก”
อย่างไรก็ตาม กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องผลักดัน เช่น การเปลี่ยนคำนำหน้านามของคนข้ามเพศ และสิทธิด้านสวัสดิการทางสังคมที่ครอบคลุมความต้องการของ LGBTQ+ ซึ่งล้วนเป็นก้าวสำคัญของการทำให้ความเท่าเทียมเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน “เราได้สมรสเท่าเทียมมาแล้ว แต่มันยังไม่พอ เราต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อให้ทุกคนในสังคมมีสิทธิ์ที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง” อาจารย์รณภูมิกล่าว ย้ำว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ใช่แค่การรอให้กฎหมายเปลี่ยน แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนทัศนคติของสังคมไปพร้อมกัน
ทัศนคติของสังคมและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
แม้ว่าสังคมไทยจะเปิดกว้างมากขึ้นในเรื่องของความหลากหลายทางเพศ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ “มันเพียงพอแล้วหรือยัง?” อาจารย์รณภูมิให้มุมมองว่า แม้เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงกฎหมายและวาทกรรมในสื่อ แต่ในทางปฏิบัติ คน LGBTQ+ ยังเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่างในชีวิตประจำวัน
“เราจะบอกว่าสังคมเปิดกว้างขึ้นก็ได้ ถ้าเทียบกับเมื่อสิบปีก่อน แต่ถามว่า LGBTQ+ ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกใจหรือยัง? ตอบเลยว่ายังไม่ใช่” ตัวอย่างง่าย ๆ คือในสถานที่ทำงาน แม้ว่าหลายองค์กรจะประกาศนโยบายสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ แต่ยังมี การเลือกปฏิบัติในรูปแบบที่ซับซ้อน เช่น การตั้งคำถามถึงความสามารถของคนข้ามเพศ หรือการให้โอกาสในตำแหน่งงานที่จำกัด “หลายคนบอกว่าไม่รังเกียจ LGBTQ+ แต่ก็ไม่อยากให้พวกเขามาเป็นหัวหน้าหรือเป็นตัวแทนองค์กร นี่สะท้อนว่ายังมีความคิดเรื่อง ‘พื้นที่ที่เหมาะสม’ สำหรับ LGBTQ+ ซึ่งไม่ใช่ความเท่าเทียมที่แท้จริง”
แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมได้อย่างไร? อาจารย์รณภูมิชี้ว่า “การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากการเรียนรู้” คนทั่วไปต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับ LGBTQ+ ไม่ใช่เพียงแค่ผ่านสื่อกระแสหลักที่บางครั้งยังนำเสนอภาพเหมารวม “เราต้องเริ่มจากการเล่าเรื่องที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ของ LGBTQ+ ไม่ใช่แค่เรื่องสีสัน ความสนุก หรือความแปลกใหม่ แต่คือเรื่องของสิทธิ โอกาส และความเป็นอยู่ที่เท่าเทียมกัน”
คนรุ่นใหม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมที่เท่าเทียมได้อย่างไร? อาจารย์รณภูมิกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยถูกมองว่า “ปกติ”
“ถ้าคุณเห็นอะไรที่ไม่เป็นธรรม อย่าปล่อยผ่าน อย่าคิดว่า ‘มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว’ คนรุ่นใหม่มีพลังมากกว่าที่พวกเขาคิด และทุกความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์เริ่มจากคนที่กล้าตั้งคำถาม”
ความเท่าเทียมในระดับปัจเจกและชีวิตประจำวัน
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงสิทธิ LGBTQ+ แต่ต้องการสนับสนุนความเท่าเทียม อาจารย์รณภูมิเน้นว่า “การสนับสนุนไม่จำเป็นต้องเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือออกมาเดินขบวนเสมอไป แต่มันสามารถเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันได้”
หนึ่งในวิธีที่มีพลังมากคือ การแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องในโซเชียลมีเดีย อาจารย์อธิบายว่า การเผยแพร่เนื้อหาที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ LGBTQ+ อย่างถูกต้อง สามารถช่วยลดอคติและความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึกในสังคมได้ “หลายครั้งข่าวปลอมและข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับ LGBTQ+ ถูกแชร์ต่อไปโดยที่คนไม่ได้ตรวจสอบ ความเข้าใจผิดแบบนี้สะสมและกลายเป็นอคติที่คนเชื่อโดยไม่รู้ตัว”
ดังนั้น แค่การเลือกแชร์เนื้อหาที่สนับสนุนความเท่าเทียม แทนที่จะส่งต่อข่าวลือหรือมุกตลกที่ลดทอนคุณค่าของ LGBTQ+ ก็เป็นการมีส่วนร่วมที่สำคัญแล้ว นอกจากการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ยังมีอีกหลายวิธีที่บุคคลทั่วไปสามารถช่วยสร้างสังคมที่เท่าเทียมขึ้นได้ เช่น
• สนับสนุนธุรกิจที่มีนโยบายเปิดกว้าง และให้โอกาส LGBTQ+ อย่างเป็นธรรม
• สร้างพื้นที่ปลอดภัยในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่ใช้คำพูดที่ลดทอนศักดิ์ศรีของเพศหลากหลาย และไม่ปล่อยให้การเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นโดยไม่มีใครท้วงติง
• ตั้งคำถามกับระบบที่กีดกัน LGBTQ+ เช่น กฎหมาย นโยบายองค์กร หรือหลักสูตรการศึกษา ที่ยังไม่ครอบคลุมความหลากหลายทางเพศ
“บางคนคิดว่า ถ้าเราไม่ได้เป็น LGBTQ+ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ความจริงคือ สังคมที่เท่าเทียมเป็นประโยชน์ กับทุกคน เพราะมันหมายถึงการใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเราแตกต่าง” อาจารย์รณภูมิย้ำว่า ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้ และบางครั้ง สิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อย เช่น การแชร์ข้อมูลที่ถูกต้อง ก็อาจเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการทำให้สังคมขยับไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ความเท่าเทียมไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันคือเรื่องของเราทุกคน “แล้วคุณล่ะ—อยากเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร?”
ตลอดการพูดคุยกับ ผศ.ดร.รณภูมิ สามัคคีคารมย์ เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า การสร้างสังคมที่เท่าเทียมสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ไขกฎหมาย แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ ความคิด และวัฒนธรรมของสังคม “ความเท่าเทียม” ไม่ได้หมายถึงแค่การให้สิทธิ์ทางกฎหมายเท่ากัน แต่คือการสร้างโอกาสที่เป็นธรรม เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ถูกกีดกันจากโครงสร้างทางสังคมที่ล้าหลัง และไม่ต้องต่อสู้เพื่อสิ่งที่ควรเป็นของพวกเขาโดยกำเนิด
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ระบบกฎหมายที่ล้าหลัง หรือโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ แต่คือ “ความกลัว” และ “ความไม่เข้าใจ” ที่ยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในสังคมไทย หลายคนยังเชื่อว่าการให้สิทธิ LGBTQ+ คือการให้ “อภิสิทธิ์” แก่คนกลุ่มหนึ่ง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว มันคือการคืนสิทธิ์ที่พวกเขาควรมีมาตั้งแต่ต้น ในขณะที่เราฉลองความก้าวหน้า เช่น การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เราต้องไม่ลืมว่า ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากสังคมยังเต็มไปด้วยอคติที่มองว่า LGBTQ+ ควรได้รับ “สิทธิ์แค่บางส่วน” แต่ไม่ใช่ “สิทธิ์ที่เท่าเทียมกันจริง ๆ” แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องของนักเคลื่อนไหวหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของมันได้ แม้จะเป็นเพียงการแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องในโซเชียลมีเดีย การตั้งคำถามกับความไม่เป็นธรรม หรือการสนับสนุนพื้นที่ปลอดภัยให้กับทุกคนโดยไม่แบ่งแยก
การสร้างสังคมที่เท่าเทียมไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องลงมือทำตั้งแต่วันนี้
the SPACE เชื่อว่า ทุกเสียงและทุกการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ
มีความหมาย “เพราะสุดท้ายแล้ว… สังคมที่เท่าเทียม ไม่ใช่แค่เพื่อ LGBTQ+ แต่เพื่อพวกเราทุกคน”
CR.THESPACE