
วันนี้ 18 มิถุนายน 2567 ที่ประชุมวุฒิสภาไทยได้ลงมติประวัติศาสตร์เห็นชอบร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ผลการลงมติในวาระที่ 3 เห็นชอบ 130 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง งดออกเสียง 18 เสียง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม และเป็นประเทศที่ 38 ของโลก
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม
การประชุมครั้งนี้เป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในวาระ 2 และวาระ 3 โดยสมาชิกวุฒิสภาในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ชี้แจงว่าการพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้มีการประชุมทั้งสิ้น 12 ครั้ง เพื่อให้คณะกรรมาธิการพิจารณาอย่างละเอียดและรอบคอบ
การพิจารณาครั้งนี้ได้ฟังข้อมูลและเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตารางเปรียบเทียบร่างกฎหมาย และความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าจะไม่มีการแก้ไขหรือสงวนความเห็นใด ๆ แต่มีข้อสังเกตว่าร่างกฎหมายนี้มุ่งเน้นเรื่องการหมั้นและการสมรส แต่ยังไม่ครอบคลุมเรื่องการสร้างครอบครัวและการอุปการะเลี้ยงดูเด็กที่เป็นบุตรของผู้มีความหลากหลายทางเพศ
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเป็นรายมาตรา มีการกำหนดให้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ภายใน 120 วัน ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ไม่เห็นด้วยและอภิปรายว่าควรมีผลบังคับใช้ทันทีหลังจากประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา โดยกรรมาธิการ ชี้แจงว่าการกำหนดวันบังคับใช้ของกฎหมายขึ้นอยู่กับการเตรียมการของหน่วยงานราชการเพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ประเด็นถกเถียงจากสมาชิกวุฒิสภา
การอภิปรายยังมีประเด็นถกเถียงจากสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนคำศัพท์จาก
- "สามีภรรยา" เป็น "คู่สมรส"
- "บุคคล" เป็น "ชายและหญิง" หรือ "ผู้หมั้น"
โดยกล่าวว่าการแก้ไขนี้จะทำลายสถาบันครอบครัวและไม่ได้ยกระดับ LGBTQIA+ ให้เท่าเทียมกับเพศชายหรือเพศหญิง แต่เป็นการลดระดับของเพศชายและเพศหญิงลง
ในที่สุดที่ประชุมวุฒิสภาได้มีมติเห็นชอบต่อร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวาระที่ 3 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 130 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง งดออกเสียง 18 เสียง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม และเป็นประเทศที่ 38 ของโลก