Sisterhood

นราภัค ภัชรกุล

1 เดือนที่แล้ว

𝐀𝐏𝐏𝐋𝐈𝐂𝐀𝐓𝐈𝐎𝐍𝐒 𝐎𝐏𝐄𝐍 | 𝐌𝐈𝐒𝐒 𝐓𝐑𝐀𝐍𝐒 𝐊𝐇𝐎𝐍𝐊𝐀𝐄𝐍 𝟐𝟎𝟐𝟓 ✨
มิสทรานส์ขอนแก่น 2025 เปิดรับนางงามแล้วตอนนี้ !!
——————————⋆
เปิดโอกาสให้กับสาวทรานส์ที่มีความสามารถและอยากเปลี่ยนชีวิตและทำหน้าที่เป็นตัวแทนจังหวัดขอนแก่น
บนเวที Miss Trans Thailand 2025 พร้อมsางวัลอีกมากมาย
เก็ ... ดูเพิ่มเติม

𝐀𝐏𝐏𝐋𝐈𝐂𝐀𝐓𝐈𝐎𝐍𝐒 𝐎𝐏𝐄𝐍 | 𝐌𝐈𝐒𝐒 𝐓𝐑𝐀𝐍𝐒 𝐊𝐇𝐎𝐍𝐊𝐀𝐄𝐍 𝟐𝟎𝟐𝟓 ✨
มิสทรานส์ขอนแก่น 2025 เปิดรับนางงามแล้วตอนนี้ !!
——————————⋆
เปิดโอกาสให้กับสาวทรานส์ที่มีความสามารถและอยากเปลี่ยนชีวิตและทำหน้าที่เป็นตัวแทนจังหวัดขอนแก่น
บนเวที Miss Trans Thailand 2025 พร้อมsางวัลอีกมากมาย
เก็บตัวผู้เข้าประกวด 31 ตุลาคม 2568
รอบตัดสินในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568
——————————⋆
คุณสมบัติผู้เข้าประกวด
Miss Trans Thailand 2025
1. เพศ: Transgender
2. อายุ: 18 ปีขึ้นไป
3. สัญชาติ: ไทย
4. การศึกษา: จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป
5. บุคลิกภาพ: มีบุคลิกดี *
6. ความประพฤติ: ไม่มีประวัติอาชญากรรม
7. สุขภาพ: สุขภาพร่างกายแข็งแรง
8. มีทัศนคติและเจตคติที่ดีต่อ องค์กร Miss Trans Thailand Organization รวมถึงผู้อื่นและสังคม
9. มีจิตอาสา ต่อผู้อื่นและสังคม

#sisterhood #สาวข้ามเพศ #ประกวดสาวข้ามเพศ #Transgender

ดูน้อยลง

5 ถูกใจ

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

6 เดือนที่แล้ว

[การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน]

เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์และเพจ Young Pride Club รายงานเหตุการณ์ที่คุณชัชชัย สาวข้ามเพศวัย 27 ปี อาศัยอยู่ที่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ถูกบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเลิกจ้างก่อนสิ้นสุดช่วงทดลองงาน โดยไ ... ดูเพิ่มเติม

[การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน]

เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์และเพจ Young Pride Club รายงานเหตุการณ์ที่คุณชัชชัย สาวข้ามเพศวัย 27 ปี อาศัยอยู่ที่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ถูกบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเลิกจ้างก่อนสิ้นสุดช่วงทดลองงาน โดยไม่มีเหตุผลชัดเจน และถูกข่มขู่ให้เซ็นใบลาออก พร้อมคำบอกกล่าวจากหัวหน้างานที่ระบุว่า “ไม่ชอบสาวประเภทสอง” แม้ว่าคุณชัชชัยจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดและไม่มีประวัติบกพร่องในการทำงาน เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่ตั้งข้อสังเกตอย่างหนักว่าอาจเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ

🍊การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

การเลือกปฏิบัติเพราะอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพ ไม่เพียงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม แต่ยังละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 27 ที่ระบุชัดว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ”

หลักสิทธิมนุษยชนสากล เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ก็ล้วนประณามการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลด้วยเหตุเพียงอัตลักษณ์ของเขาโดยไม่มีเหตุผลอันชอบธรรม

🍊ธุรกิจกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

กรณีนี้เป็นตัวอย่างของการที่ สถานประกอบการหรือภาคเอกชนละเมิดสิทธิมนุษยชนของลูกจ้าง ซึ่งละเมิดต่อหลักการของ UN Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGPs) ที่กำหนดให้ทุกภาคธุรกิจต้อง “เคารพสิทธิมนุษยชน” และหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจเป็นการเลือกปฏิบัติ

การที่บริษัทใช้ดุลพินิจในการเลิกจ้างบุคคลจากเหตุแห่งเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ ถือเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือด้านธรรมาภิบาล และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างรุนแรงในยุคที่ผู้บริโภคและสังคมให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม

🧡ตัวอย่างต่างประเทศ: การเลือกปฏิบัติและอาชญากรรมจากความเกลียดชังเป็นความผิดทางอาญา

หลายประเทศได้บัญญัติกฎหมายที่ชัดเจนในการห้ามการเลือกปฏิบัติและอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crime) โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่น:

📍แคนาดา: มีการแก้ไขกฎหมายอาญาให้ความเกลียดชังจากเหตุเพศสภาพและอัตลักษณ์ทางเพศเป็น “เหตุเพิ่มโทษ”

📍สหราชอาณาจักร: “Equality Act 2010” คุ้มครองบุคคลจากการถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงานและที่สาธารณะ

📍สหรัฐอเมริกา: “Matthew Shepard and James Byrd Jr. Hate Crimes Prevention Act” ปี 2009 ระบุให้การกระทำที่เกิดจากอคติทางเพศเป็นอาชญากรรมที่มีโทษรุนแรง

🧡ผู้เสียหายสามารถใช้กลไกตาม พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ

ในประเทศไทย แม้จะยังไม่มีกฎหมายเฉพาะเรื่อง “Hate Crime” แต่มี พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ซึ่งสามารถใช้ดำเนินการในกรณีเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะ มาตรา 18: ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลอื่นเพราะเหตุแห่งเพศมาตรา 20: ผู้เสียหายสามารถยื่นเรื่องต่อ คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งสามารถมีคำสั่งให้มีการชดเชยค่าเสียหายและดำเนินการเยียวยาได้

สรุป

กรณีของคุณชัชชัยจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการเลิกจ้างธรรมดา แต่เป็นกรณีตัวอย่างของการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความไม่เท่าเทียมที่ยังเกิดขึ้นในสังคมไทย แม้จะมีเครื่องมือทางกฎหมายรองรับแล้วก็ตาม ความเคลื่อนไหวจากทุกภาคส่วนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเรียกร้องความเป็นธรรม และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่อไป

ภาพจาก : ข่าวสด

#สสครูธัญ #พรรคประชาชน #เลือกปฏิบัติ #AntiDiscrimination #LGBTQIAN #Transgender

ดูน้อยลง

0 ถูกใจ

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

7 เดือนที่แล้ว

“ครูธัญ“ หนุนทบทวนอาญา หลัง “ผู้หญิงข้ามเพศ” ที่ภูเก็ต เหตุสร้างความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ

https://mgronline.com/politics/detail/9680000027360

#สสครูธัญ #พรรคประชาชน #LGBTQ #Transgender #เลือกปฏิบัติ #AntiDiscrimination ... ดูเพิ่มเติม

0 ถูกใจ

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

7 เดือนที่แล้ว

[สิทธิเสรีภาพกับเส้นแบ่งของกฎหมาย: กรณีการจับกุมผู้หญิงข้ามเพศในภูเก็ต]

เหตุการณ์การจับกุมผู้หญิงข้ามเพศจำนวน 37 รายในจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมต่อการใช้กฎหมายมาตรา 397 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดโทษต่อการกระทำที่ก่อให้เกิด “ความ ... ดูเพิ่มเติม

[สิทธิเสรีภาพกับเส้นแบ่งของกฎหมาย: กรณีการจับกุมผู้หญิงข้ามเพศในภูเก็ต]

เหตุการณ์การจับกุมผู้หญิงข้ามเพศจำนวน 37 รายในจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมต่อการใช้กฎหมายมาตรา 397 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดโทษต่อการกระทำที่ก่อให้เกิด “ความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ” โดยเฉพาะในกรณีที่ส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ

กรณีศึกษาและข้อเท็จจริง

จากรายงานข่าวสื่อมวลชน ตำรวจภูเก็ตเข้าควบคุมตัวกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศในย่านซอยบางลา โดยอ้างว่าพฤติกรรมของกลุ่มดังกล่าวรบกวนและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัด อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหานี้ก่อให้เกิดคำถามต่อสังคมว่า “อะไร” คือความเดือดร้อนรำคาญตามนิยามของกฎหมาย และการกระทำของกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศเข้าข่ายความผิดจริงหรือไม่

การอ้างอิงกฎหมายและการตีความ

มาตรา 397 วรรคสอง ระบุถึงโทษสำหรับการกระทำในที่สาธารณะหรือลักษณะที่ส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ แต่เมื่อพิจารณาจากกรณีนี้ การตีความว่าการแต่งกายหรือการยืนในพื้นที่สาธารณะของผู้หญิงข้ามเพศเป็นการ “เดือดร้อนรำคาญ” กลับสะท้อนถึงอคติทางเพศมากกว่าการกระทำผิดจริงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นในพื้นที่เดียวกันที่ไม่ได้ถูกดำเนินคดี

สิทธิและเสรีภาพของบุคคลในพื้นที่สาธารณะ

รัฐธรรมนูญไทยมาตรา 28 ให้ความคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกาย รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกทางเพศและการแต่งกายในพื้นที่สาธารณะ ตราบใดที่การกระทำไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นหรือผิดกฎหมายอย่างชัดเจน การใช้มาตรา 397 ในกรณีของผู้หญิงข้ามเพศที่เพียงแค่ยืนหรือเดินในพื้นที่สาธารณะ ย่อมเป็นการจำกัดเสรีภาพเกินสมควร

การเลือกปฏิบัติคืออคติ

การเลือกใช้กฎหมายกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยไม่มีฐานจากพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิดอย่างแท้จริง เป็นการตอกย้ำอคติที่ฝังรากลึกในสังคมมากกว่าการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม การเหมารวมว่ากลุ่มผู้หญิงข้ามเพศคือ “ต้นเหตุของความเดือดร้อน” หรือ “ปัญหาภาพลักษณ์” จึงเป็นการใช้อำนาจรัฐที่สืบทอดมาจากทัศนคติอคติ ไม่ใช่การคุ้มครองสาธารณะตามหลักสิทธิมนุษยชน

ข้อเสนอแนะ

กรณีนี้ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนการใช้มาตรา 397 ให้มีความชัดเจน เป็นกลาง และปราศจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงการพัฒนาความรู้และทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศและสิทธิมนุษยชน เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือของการกดทับกลุ่มเปราะบาง

และหากมีความกังวลเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศ การขจัดอคติในกระบวนการยุติธรรม และส่งเสริมความเท่าเทียมในพื้นที่สาธารณะต่างหาก ที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศไทยได้มากกว่า

#สสครูธัญ #พรรคประชาชน #LGBTQ #Transgender #เลือกปฏิบัติ #AntiDiscrimination

ดูน้อยลง

0 ถูกใจ

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์

7 เดือนที่แล้ว

[เครือข่ายเพื่อนกะเทยไทย #ThaiTGA : กระแสต่อต้านคนข้ามเพศและประเด็นการเปลี่ยนคำนำหน้า]

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ได้หารือกับ ณชเล บุญญาภิสมภาร รองประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และ เคธี่ สุหงษา ผู้จัดการโครงการ เกี่ยวกับกระแสต่อต้านคนข้ามเพศในสังคม และแนวทางการผลั ... ดูเพิ่มเติม

[เครือข่ายเพื่อนกะเทยไทย #ThaiTGA : กระแสต่อต้านคนข้ามเพศและประเด็นการเปลี่ยนคำนำหน้า]

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ได้หารือกับ ณชเล บุญญาภิสมภาร รองประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และ เคธี่ สุหงษา ผู้จัดการโครงการ เกี่ยวกับกระแสต่อต้านคนข้ามเพศในสังคม และแนวทางการผลักดันการเปลี่ยนคำนำหน้านาม (Gender Recognition) เพื่อเตรียมการสื่อสารและตอบข้อโต้แย้ง

🏳️‍⚧️Gender Recognition คืออะไร?

Gender Recognition หมายถึง การที่รัฐรับรองอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลตามที่บุคคลนั้นระบุ ไม่ใช่ตามเพศกำเนิด รวมถึงการเปลี่ยนคำนำหน้านามในเอกสารราชการ เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ หนังสือเดินทาง ฯลฯ เพื่อให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลนั้น

🍊ประเด็นข้อโต้แย้งจากสังคมไทย
1. “แยกไม่ออกว่าใครเป็นผู้หญิงจริงหรือคนข้ามเพศ”
ผู้ชายบางส่วนกังวลว่าจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นผู้หญิงตามเพศกำเนิดหรือคนข้ามเพศ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในการปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
2. “แย่งพื้นที่ของผู้หญิง”
ผู้หญิงบางกลุ่มเห็นว่าคนข้ามเพศหญิงอาจเข้ามาใช้พื้นที่หรือสิทธิที่จัดไว้สำหรับผู้หญิง เช่น ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือกิจกรรมเฉพาะของผู้หญิง
3. “ข้ามเพศเพื่อเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร”
สังคมบางส่วนกังวลว่า การเปิดให้เปลี่ยนคำนำหน้านามอาจถูกใช้เป็นช่องทางหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร
4. “ความไม่เห็นด้วยภายในกลุ่ม LGBTQ+”
บางกลุ่มในชุมชน LGBTQ+ เช่น เลสเบียนหรือเฟมินิสต์บางส่วน มีความกังวลว่าการเปลี่ยนคำนำหน้านามอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวสิทธิสตรีในระยะยาว

🍊คำตอบต่อข้อโต้แย้งเหล่านี้
1. เรื่อง “แยกไม่ออก” ว่าใครเป็นผู้หญิงหรือคนข้ามเพศ
อัตลักษณ์ของบุคคลไม่ควรถูกจำกัดด้วยรูปลักษณ์ภายนอก แต่ควรได้รับการเคารพตามที่บุคคลนั้นกำหนด การไม่สามารถ “แยกออก” สะท้อนถึงความหลากหลายของสังคม ไม่ใช่ข้อบกพร่องของคนข้ามเพศ ประเทศที่มีกฎหมาย Gender Recognition ไม่พบว่าปัญหานี้กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
2. เรื่อง “แย่งพื้นที่ของผู้หญิง”
ประเทศที่ออกกฎหมาย Gender Recognition เช่น แคนาดาและนิวซีแลนด์ มีแนวทางการใช้พื้นที่ร่วมอย่างชัดเจน โดยเน้นการปกป้องความปลอดภัยของทุกคน ข้อมูลเชิงสถิติไม่พบว่าการเปิดพื้นที่ให้คนข้ามเพศเพิ่มความเสี่ยงต่อความรุนแรงหรืออาชญากรรม
3. เรื่อง “เกณฑ์ทหาร”
ประเทศไทยมีระบบการเกณฑ์ทหารที่อ้างอิงข้อมูลเพศกำเนิดในทะเบียนราษฎร บุคคลข้ามเพศซึ่งเปลี่ยนคำนำหน้านามแล้ว ยังต้องเข้าสู่กระบวนการตามพระราชบัญญัติรับราชการทหารอยู่ดี และมีแนวปฏิบัติในการยกเว้นคนข้ามเพศในขั้นตอนนี้ชัดเจนแล้ว
4. เรื่อง “ความเห็นต่างในกลุ่ม LGBTQ+”
การมีความเห็นต่างในกลุ่ม LGBTQ+ เป็นเรื่องปกติในทุกสังคม แต่สิทธิในการรับรองอัตลักษณ์ของคนข้ามเพศไม่ควรถูกจำกัดด้วยความกลัวหรือความเข้าใจผิด เพราะการเคารพอัตลักษณ์ของแต่ละคน คือการยืนยันถึงความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน

📍อัตลักษณ์ทางเพศคือสิทธิมนุษยชน

สิทธิในการมีอัตลักษณ์ทางเพศ เป็นหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ระบุว่าทุกคนมีสิทธิในศักดิ์ศรี เสรีภาพ และความเท่าเทียม โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ

🧡ตัวอย่างประเทศที่รับรองแล้ว
• อาร์เจนตินา: ผ่าน “กฎหมายอัตลักษณ์ทางเพศ” ปี 2012 อนุญาตให้เปลี่ยนคำนำหน้านามและข้อมูลทางเพศในเอกสารราชการโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์
• มอลตา: ออกกฎหมาย Gender Identity, Gender Expression and Sex Characteristics Act ปี 2015 รับรองสิทธิของคนข้ามเพศและบุคคลที่มีเพศกำกวมอย่างครบถ้วน
• แคนาดา: ประมวลกฎหมาย Bill C-16 ปี 2017 คุ้มครองบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศและการแสดงออกทางเพศภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชน

🍊บทสรุป

การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศไม่ใช่เพียงประเด็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่คือการสร้างสังคมที่เคารพความหลากหลายและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประเด็นข้อโต้แย้งสามารถหาทางออกได้โดยไม่ละเมิดสิทธิของใคร การเดินหน้าเรื่องนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยให้มีความเท่าเทียมและปลอดภัยสำหรับทุกคน

⸻

#สสครูธัญ #พรรคประชาชน #GenderRecognition #คำนำหน้าตามสมัครใจ #Transgender
เครือข่ายเพื่อนกะเทยไทย Thai Transgender Alliance-ThaiTGA

ดูน้อยลง

0 ถูกใจ

Trending Now